ประวัติ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ
(ปัจจุบัน เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 93 ปี ด้วยโรคชะรา)
เรื่องราวในอดีต ผม(หมอสมหมาย)เป็นคนสิงห์บุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2464 ปัจจุบันอายุ 92 ปีแล้ว คุณพ่อคุณแม่มีบุตรธิดารวม 7 คนโดยผม(หมอสมหมาย)เป็นคนที่ 5 คุณพ่อคือนายกิมซิด คุณแม่นางพิมเสน ทองประเสริฐ พี่ชายคนโตของผม(หมอสมหมาย) ชื่อ ศาสตราจารย์พันตรีนายแพทย์ประจักษ์ ทองประเสริฐ เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช พี่ชายคนที่สองชื่อนายหงวน ทองประสริฐ เป็นลูกศิษย์ท่านปรีดี พนมยงค์ พี่สาวคนที่สามและที่สี่แต่งงานเป็นแม่บ้าน ส่วนผมซึ่งเป็นบุตรคนที่ห้า เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็ก พ.ศ.2471 ที่โรงเรียนประจำเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งอยู่ตรงตึกซิงเกอร์ สี่พระยาในปัจจุบัน น้องสาวคนที่หกยังมีชีวิตอยู่ส่วนน้องชายคนที่เจ็ดเป็นนายทหาร จบการศึกษาจากโรงเรียนวชิราวุธ ปัจจุบันมีพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงสามคน คือพี่สาวคนที่สามอายุ 95 ปี ผม(หมอสมหมาย)อายุ 92 ปี และน้องสาวอายุ 84 ปีนอกนั้นเสียชีวิตหมดแล้ว
ในวัยของการศึกษา ครอบครัวของผม(หมอสมหมาย)สนับสนุนการศึกษาเฉพาะผู้ชายส่วนลูกผู้หญิงไม่ส่งเสียให้เล่าเรียน พี่ชายของผม(หมอสมหมาย)นับว่าได้เป็นชาวสิงห์บุรีคนแรกที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ได้ทุนของร็อกกี้ เฟลเรอร์ ไปเรียนต่อที่ยอห์นฮอสปิตัส ประเทศอเมริกา ส่วนผมสำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิต สมัยเด็กศึกษาที่ ร.ร. เซนต์ปีเตอร์ ในปี พ.ศ. 2471 และจบ ม.5 ในปี พ.ศ. 2478 สมัยที่ผมเรียนนั้น การศึกษายังมีระดับชั้น ม. 8 อยู่ ไม่ได้มีเตรียมอุดมศึกษาเหมือนสมัยนี้ หลังจากจบชั้น ม.5 ร.ร. เซนต์ปีเตอร์ ก็มาศึกษาต่อที่ ร.ร. อำนวยศิลป์ ปากคลองตลาดจนจบ ม.8 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้าย หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเตรียมอุดม ซึ่งคุณชอุ่ม ปัญจพรรค์ เป็นนักเรียนเตรียมอุดมหมายเลข 1
จิตใต้สำนึก “ชีวิตคือ ธรรมชาติ” อีกประการหนึ่ง ผม(หมอสมหมาย)มีจิตสำนึกอยู่เสมอว่า ในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโรค แล้วธรรมชาติต้องมียาแก้โรคให้ด้วย เช่น การใช้ซิงโคน่า(Cinchona) รักษาโรคมาเลเรีย ใบดิจิตาลีส ( Digitalis) รักษาโรคหัวใจในสัตว์ เช่น แมว สุนัข ไม่สบายก็จะไปเที่ยวหาต้นหญ้ากิน พออาเจียนแล้วก็หาย นั่นคือการรักษาสมดุลทางธรรมชาติ แต่มนุษย์เราโดยเฉพาะการแพทย์ทางตะวันตกไม่ค่อยคิดเรื่องนี้ พยายามค้นคว้าไปทางเคมีเป็นส่วนมาก
ผม(หมอสมหมาย)เข้าศึกษาต่อที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีพี่ชายเป็นคนส่งเสียให้เล่าเรียน ผม(หมอสมหมาย)สำเร็จคณะเภสัชศาสตร์ ได้เหรียญทองและเป็นอาจารย์ที่เภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามกฎได้ 1 ปี ก็ออกมาศึกษาแพทย์ต่อที่ศิริราช สมัยนั้นหากจะเรียนแพทย์ต้องเรียนที่ศิริราชแห่งเดียวเท่านั้น ที่อื่นยังไม่มีการเรียนการสอน ในขณะเรียนผมก็ใช้ความรู้ทางเภสัชฯ ไปทำงานร้านขายยา เพื่อส่งเสียตัวเองเรียนแพทย์จนกระทั่งผมจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2494 ที่จริงแล้ว ผม(หมอสมหมาย)คุ้นเคยกับโรงพยาบาลศิริราช มาตั้งแต่เด็กเนื่องจากตอนอายุเพียง 7-8 ปี เวลาปิดเทอมผมก็จะมาอยู่กับพี่ชายที่ศิริราช ส่วนมากจะไปอยู่กับพวกพี่ๆพยาบาล เพราะพี่ชายต้องทำงาน สมัยเมื่อ พ.ศ. 2471 นั้น ศิริราชยังเป็นป่าอยู่เลยมีตึกเพียง 5 ตึก มีโรงกระโจมใช้ผ้าขึงเป็นห้องผ่าตัด
สมัยเมื่อผม(หมอสมหมาย)เรียนแพทย์ศิริราชอยู่ปี 3 ปี 4 จนกระทั่งสำเร็จการศึกษา และทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกศัลยกรรม อยู่ที่ศิริราชนั้นผมสนใจเรื่องการศึกษามะเร็งมาก เพราะการศึกษาโรคอื่นๆ ทางศัยลกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งนั้นยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหรือฉายรังสีก็ดี
เนื่องจากผม(หมอสมหมาย)สำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิตก่อนมาเรียนแพทย์ ผม(หมอสมหมาย)จึงมีความคิดว่าน่าจะค้นคว้าหาสมุนไพรมาช่วยในการรักษามะเร็งบ้าง แต่ในขณะนั้นผม(หมอสมหมาย)เป็นลูกน้องไม่สามารถที่พูดเสนอความคิดได้
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากศิริราช แล้วด้วยความที่เป็นคนชอบทดลอง ผม(หมอสมหมาย)มาอยู่สถานเสาวภา 1 ปี ก็อยากทดลองเรื่องวัคซีนกับเซรุ่มในการรักษาโรคพิษสุนัขบ้า พอครบปีก็กลับมาเป็นศัลยแพทย์ที่ศิริราช เป็นศัลยแพทย์ได้สองปี สมัยนั้นไม่มีตำแหน่งให้ต้องเป็นลูกจ้าง ผม(หมอสมหมาย)เป็นลูกจ้างรับเงินเดือน เดือนละ 700 บาท (สมัยนั้นทองบาทละ 60 บาท)
หลังจากจบการศึกษาแพทย์ หลังจากจบการศึกษา ผม(หมอสมหมาย)ตั้งใจว่าจะกลับไปอยู่สิงห์บุรี เพราะแม่ของผม(หมอสมหมาย)อยู่ที่นั้นตามลำพัง แม่ก็อายุมากแล้วไม่มีใครคอยดูแล เนื่องจากพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ดังนั้นเมื่อผม(หมอสมหมาย)ทำงานที่ศิริราชครบ 2 ปี อีกทั้งตัวเองอยากได้ตำแหน่งประจำ เพราะสมัยนั้นหาตำแหน่งประจำอยากเหลือเกิน มีตำแหน่งประจำก็เป็นแผนกกระดูกซึ่งผม(หมอสมหมาย)ไม่ต้องการ
วันหนึ่งขณะผม(หมอสมหมาย)เดินทางกลับจากศิริราช ผม(หมอสมหมาย)ได้พบกับรุ่นพี่ที่ท่าน้ำ ชื่อหมออุทัย ศรีอรุณ (ภายหลังได้รับตำแหน่งพลตำรวจโทและเป็นจเรตำรวจ) เขาถามว่าผม(หมอสมหมาย)จะไปไหน ผม(หมอสมหมาย)ก็บอกว่าผม(หมอสมหมาย)จะกลับไปเอาตำแหน่งหมอกระดูกที่ศิริราช เขาจึงออกปากว่าอยากให้ผม(หมอสมหมาย)ไปช่วยที่โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าวันนั้นผม(หมอสมหมาย)กลับไปเป็นหมอกระดูกที่ศิริราช ผม(หมอสมหมาย)คงเกษียณอายุแค่ 60 ปี ไม่ได้มาเป็นหมอรักษามะเร็งในปัจจุบันนี้
ผู้เริ่มต้นโรงพยาบาลตำรวจ เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ผมจึงได้พบว่าที่นั้นไม่มีความพร้อมอะไรเลย ผม(หมอสมหมาย)ต้องจัดเตรียมบรรดาเครื่องไม้ เครื่องมือ จนสามารถผ่าตัดคนไข้ได้เอง สมัยนั้นโรงพยาบาลตำรวจเป็นเพียงโรงพยาบาลในแผนกตำรวจ ผม(หมอสมหมาย)ทำงานจนกระทั้งได้ติดยศเป็นร้อยตำรวจเอก ก็ได้ทราบข่าวว่าสิงห์บุรี กำลังสร้างโรงพยาบาล ผม(หมอสมหมาย)จึงบอกหัวหน้าแผนกว่าจะขอย้ายไปโรงพยาบาลสิงห์บุรี หากโรงพยาบาลสิงห์บุรีสร้างเสร็จ หัวหน้าผมไม่อนุญาต ท่านบอกว่า “ลื้อมาอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือน สร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ ได้ผ่าตัดได้ ทำอะไรมากมาย ไม่อนุญาตให้ไปหรอก” เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น แต่ความต้องการที่จะอยากกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลบ้านเกิดมากกว่า ในเดือนธันวาคมของปีนั้นผม(หมอสมหมาย)จึงเขียนจดหมายลาออกทิ้งไว้แล้วจากไปอยู่ที่สิงห์บุรีโดยไม่ได้ร่ำลาผู้ใด
ค้นพบสมุนไพร ในปีพ.ศ. 2498 ผม(หมอสมหมาย)รับราชการเป็นนายแพทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี ผม(หมอสมหมาย)ได้เป็นหัวหน้าและในขณะเดียวกันผม(หมอสมหมาย)ก็มีความเป็นตัวของตัวเอง ผม(หมอสมหมาย)ได้เริ่มเสาะหายาสมุนไพรที่จะมาช่วยในเรื่องรักษามะเร็ง ขณะนั้นคนกำลังฮือฮาในการใช้ต้นทองพันชั่งรักษามะเร็ง ผม(หมอสมหมาย)ก็ปลูกต้นทองพันชั่งไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อมีคนไข้เป็นมาเร็งมารักษา ผม(หมอสมหมาย)ก็ลองใช้ทองพันชั่งต้มให้คนไข้กิน แต่เมื่อมาดูผลการรักษากลับพบว่ามันไม่ได้ผล ทุกครั้งที่ผมตรวจคนไข้ OPD (ผู้ป่วยนอก) ผม(หมอสมหมาย)ก็พยายามถามถึงเรื่องตำรายาสมุนไพรรักษามะเร็งจากคนไข้และญาติ เพื่อทดลองใช้แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ผลสักที
ปกติในวันเสาร์ - อาทิตย์นั้น ยังไม่มีคนไข้มากเท่าอย่างในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2508 บังเอิญผม(หมอสมหมาย)ขับรถไปเที่ยวป่าในวัน เสาร์ - อาทิตย์ ที่อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเสาะหาปุ่มของต้นไม้ชนิดต่างๆ เพราะชอบสะสมปุ่มไม้ วันหนึ่งผม(หมอสมหมาย)ขับรถไปยังอำเภอวิเชียรบุรี ไปที่บ้านชาวไร่คนหนึ่ง เพราะทราบว่าชาวบ้านคนนี้มีปุ่มไม้ใหญ่ และผม(หมอสมหมาย)ก็ได้พบกับปุ่มไม้จริงๆ พร้อมกันนั้น ผม(หมอสมหมาย)ได้พบกับเจ้าของบ้านนั่งหายใจหอบเหนื่อยอยู่ในบ้านและบังเอิญเป็นผู้ที่เคยรู้จักกัน ผม(หมอสมหมาย)จึงได้สอบประวัติได้ความว่ามีอาการไอ เหนื่อยหอบ จึงได้ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลลพบุรี แพทย์ได้ทำการเอกซเรย์ปอดแล้วบอกว่ามีน้ำท่วมปอด แพทย์เจาะน้ำออกจากปอดและเจาะชิ้นเนื้อเยื้อส่งตรวจที่กรุงเทพฯ ผลการตรวจสรุปออกมาว่าเป็นมะเร็งปอดและน้ำท่วมปอด แพทย์ลพบุรีจะส่งคนไข้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ผู้ป่วยไม่ยอมไปด้วยเหตุเพราะใกล้ๆบ้านผู้ป่วยมีแพทย์แผนโบราณรักษาโรคมะเร็งด้วยสมุนไพร ผม(หมอสมหมาย)ได้ลองตรวจสอบดูพบว่ามีน้ำท่วมปอดจริง ผู้ป่วยไม่สามารถนอนได้ ต้องใช้การนั่งพิงแทน จากนั้นผม(หมอสมหมาย)ก็ลาคนไข้กลับและไม่ได้สนใจคนไข้คนนี้อีก 8 เดือนต่อมา ผม(หมอสมหมาย)ได้กลับมาที่บ้านผู้ป่วยคนเดิม ตอนนั้นคิดว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตแล้ว ตั้งใจจะไปซื้อปุ่มไม้ที่ตั้งอยู่ในบ้านผู้ป่วย จากภรรยาผู้ป่วย แต่แทนที่จะพบผู้ป่วยเสียชีวิต กลับพบว่าผู้ป่วยมีชีวิตอยู่และเดินเหินได้ปกติ กรณีนี้ทำให้ผม(หมอสมหมาย)สนใจมากและได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลลพบุรี เมื่อพบแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยรายนี้และขอดูหลักฐานรายงานและผลเอ็กซเรย์ของผู้ป่วยแต่ แพทย์หาให้ไม่ได้ ผมจึงคิดว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่น่าจะเป็นมะเร็งปอดและแพทย์คงตรวจผิด ผม(หมอสมหมาย)จึงไม่ได้สนใจยาสมุนไพรตำหรับนี้
ต่อมาปี พ.ศ. 2512 มีพ่อค้าคนหนึ่งที่เคยอยู่ตลาดสิงห์บุรี แล้วได้ย้ายไปทำมาหากินที่กรุงเทพ ได้กลับมาอยู่ที่สิงห์บุรีผม(หมอสมหมาย)ทราบข่าวว่าเขาเป็นมะเร็งและเป็นมากแล้ว จึงเดินทางไปเยี่ยมพบว่าผู้ป่วยผ่ายผอมไปมาก ที่ลิ้นมีแผลเต็มไปหมด มีเลือดซึมตลอด กลิ่นเหม็น หุบปากไม่ได้ มีก้อนน้ำเหลืองใต้คางก้อนโตมากผู้ป่วยต้องใช้อ่างรูปไตรองใต้คาง ถามผู้ป่วยก็ทราบว่าเป็นมะเร็งที่ลิ้น รักษาด้วยวิธีฉายแสงที่โรงพยาบาลรามาฯ แต่อาการไม่ดีขึ้นแพทย์ให้กลับมาอยู่ที่บ้าน บอกรักษาไม่ได้ให้ใช้ยาแก้ปวดเท่านั้น เมื่อผมเห็นเช่นนี้ จึงนึกถึงสมุนไพรที่อำเภอวิเชียรบุรี จึงได้แนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาขนานนี้ดู ผู้ป่วยตอบตกลง ผม(หมอสมหมาย)จึงไปขอสมุนไพรมาทั้งหมด 4 หม้อ โดยผม(หมอสมหมาย)เป็นคนต้มยาให้คนไข้เองต้มจนเหลือ 1 ถ้วยแก้ว แล้วให้คนไข้หยดใส่ปากกินให้หมดใน 1 วันหม้อ ต้มกินได้ 15 วัน ผู้ป่วยกินแต่ยาสมุนไพร อาหารน้ำและยาแก้ปวด โดยไม่ใช้ยาอะไรเลย ทว่าอาหารของผู้ป่วยกลับดีวันดีคืน แผลที่ลิ้นค่อยๆยุบลง กลิ่นเหม็นก็น้อยลง ก้อนใต้คางก็ยุบลง น้ำหนักตัวเริ่มเพิ่มขึ้น อาการค่อยๆดีขึ้น และคนไข้เริ่มพูดได้ ผม(หมอสมหมาย)จึงไปขอยาสมุนไพรมาอีก 4 หม้อ ให้ต้มรับประทานเหมือนเดิม อาการของคนไข้ก็ดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ พอครบ 4 เดือน ลิ้นยุบลงมากจนแผลหายเหลือก้อนเท่าไข่นกกระทา ติดแน่นตรงใต้คาง ผม(หมอสมหมาย)ก็ไปขอยามาอีก 4 หม้อ ต้มให้กินทุกวันจนครบ 6 เดือนผู้ป่วยมีอาการเหมือนคนปกติ อ้วนขึ้น เดินไปตลาดได้ ผม(หมอสมหมาย)แนะนำผู้ป่วยว่า ควรไปทำการผ่าตัดก้อนที่คางและแผลที่ลิ้นออกแต่ผู้ป่วยไม่ยอม บอกว่าเมื่อกินยุบแล้ว ขอกินยาต่อไปเรื่อยๆ ผู้ป่วยมีอาการดีอยู่ 6 เดือนแผลที่ลิ้นก็เริ่มบวมและแตก ในที่สุดผู้ป่วยก็ถึงแก่กรรม เพราะเลือดออกที่ลิ้นมาก
จากการติดตามผู้ป่วยรายนี้ด้วยตนเองทุกวัน จึงเห็นว่ายาสมุนไพรตำรับนี้มีประโยชน์ในการรักษามะเร็ง ผม(หมอสมหมาย)จึงไปขอสูตรยาตำหรับนี้จากแพทย์แผนโบราณเท่านั้น แต่ท่านไม่ยอมให้เพราะท่านบอกว่า ท่านเคยรักษาโรคมะเร็งหายมาหลายรายแล้ว แต่หมอแผนปัจจุบันไม่ยอมรับ
การรักษาได้รับการยอมรับจากสากล ประมาณเดือนกันยายน - ตุลาคม พ.ศ. 2517 มีเลกเซอร์ทัวร์ ของคณะออโธปิติกส์จากกรุงเทพ ไปประชุมที่นครสวรรค์ ผม(หมอสมหมาย)เห็นเป็นโอกาสดีที่ได้นำเสนอเรื่องคนไข้มะเร็งที่หัวเข่า จังหวัดตราด ผม(หมอสมหมาย)จึงไปประชุมด้วย พร้อมทั้งขอรายการเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งหัวเข่าในที่ประชุม รวมทั้งแฟ้มของ โรงพยาบาลเลิดสินและของผม(หมอสมหมาย) พร้อมทั้งขอร้องว่าถ้าพบคนไข้เช่นนี้ กรุณาอย่าตัดขา ให้ส่งให้ผม(หมอสมหมาย)รักษาจะได้มีผลงานออกมามากๆ แต่ผมก็ไม่เคยได้คนไข้จากโรงพยาบาลเลย เมื่อผม(หมอสมหมาย)เห็นว่าทางการแพทย์ของเราไม่สนใจผลงานของผม(หมอสมหมาย) ผม(หมอสมหมาย)จึงเขียนจดหมายไปหาดอกเตอร์แชงค์(Shank) ผู้ซึ่งเป็นไดเรกเตอร์ทอกซิโคโลยีของรัฐแคลิฟอเนีย (Director toxi Colifornia) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517 บอกว่าผม(หมอสมหมาย)พบสมุนไพรหนึ่งตำรับ โดยให้คนไข้เป็นมะเร็งกินยาต้มเพียงอย่างเดียว มะเร็งก็สามารถยุบได้ ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ติดต่อผม(หมอสมหมาย)มาทันที ว่าขอให้เตรียมคนไข้มะเร็งที่กินยาต้มแล้วยุบไว้ให้ดู พร้อมทั้งเอกซเรย์ รายงานและผลชิ้นเนื้อ ต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2517 ดอกเตอร์แชงค์ (Shank)บินมาหาผม(หมอสมหมาย)ที่สิงห์บุรีพร้อมโปรเซอร์นิวบิ์รน เพื่อนซึ่งเป็นปาโทโลยีสต์(Pathologist) เมื่อผมรายงานคนไข้ที่เตรียมไว้พร้อมชิ้นเนื้อให้ดู ดอกเตอร์แชงค์(Shank)ก็ยอมรับว่ายาต้นตำรับนี้น่าจะเป็นประโยชน์ในการรักษามะเร็ง
ดอกเตอร์แชงค์ขอนำยาต้นตำรับนี้พร้อมตัวยาไปทำการค้นคว้าวิจัยที่อเมริกา แต่ผม(หมอสมหมาย)ไม่ยอม เพราะผม(หมอสมหมาย)อยากให้เมืองไทย คนไทยมีชื่อเสียงในการค้นคว้ายารักษามะเร็ง เมื่อเป็นเช่นนี้ดอกเตอร์แชงค์ (Shank)ก็ให้ผม(หมอสมหมาย)เลือกว่าจะทดลองมะเร็งชนิดใด ผมเสนอว่าขอทดลองกับมะเร็งเต้านมเพราะอวัยวะที่อยู่ภายนอกโตและเห็นง่าย
เมื่อดอกเตอร์แชงค์(Shank)กลับไปอเมริกาแล้วก็ได้ส่งคาร์ซิโนเจน(Carsinogen)ชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมในหนูนามานาน และผม(หมอสมหมาย)ก็ได้ร่วมทำการทดลองกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่มหาวิทยาลัยมหิดล โดยผม(หมอสมหมาย)ต้มยาชนิดที่ข้นจนเกือบเหนียวส่งไปให้ทดลองทุก 7 วัน ผลการทดลองก็มีเค้าให้เห็นว่ายาต้มนี้สามารถทำให้หนูที่เกิดมะเร็งเต้านมยุบได้ แต่ทำได้เพียง 3 ปี อาจารย์ท่านนี้ก็ไปเรียนปริญญาเอกต่อที่อเมริกา การทดลองจึงต้องยุติลงในพ.ศ.2520 และอาจารย์ท่านนี้เมื่อกลับมาจากอเมริกาก็ไม่ได้สนใจที่จะทดลองยานี้ต่อ
พ.ศ.2518 ผม(หมอสมหมาย)ได้เลื่อนขึ้นเป็น นายแพทย์ใหญ่ คือ นายแพทย์สาธารณสุข ประจำจังหวัดสิงห์บุรีและจะลาออกจากราชการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2521 ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญกระทรวงสาธาณสุข การที่ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการเพราะต้องการค้นคว้าและรักษามะเร็งด้วยสมุนไพรเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องมีภาระกับหน้าที่ราชการ
หน้าที่เข้าชม | 706,551 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 516,290 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |
Add Line
G-Herb Shop พระราม3
ยินดีให้คำปรึกษา
ทุกปัญหา
หรือกดตามลิ้งค์ข้างล่างนี้
เพื่อสอบถามหรือปรึกษา