มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือเนื้องอกของระบบน้ำเหลืองในร่างกาย ระบบน้ำเหลือง(Lymphatic System) จัดเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน ประกอบไปด้วยอวัยวะน้ำเหลือง อันได้แก่ ม้าม และไขกระดูก ภายในอวัยวะเหล่านี้ จะเต็มไปด้วยน้ำเหลือง ซึ่งมีหน้าที่นำสารอาหาร และเซลล์เม้ดเลือดขาว (Lymphocyte) ไปทั่วร่างกาย ความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวเหล่านี้ ทำให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขึ้น
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin Lymphoma)
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน ( Non-Hodgkin Lymphoma)
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน ( Hodgkin Lymphoma)
ในแต่ละปี มีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน 286,000 คนทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ชาย 58% และเป็นผู้หญิง 42%
จัดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดที่พบได้น้อยกว่า และมีลักษณะเฉพาะคือ พบ Reed-sternberg cell ซึ่งไม่พบในมะเร็งต่อน้ำเหลืองชนิดอื่น
ในแต่ละปีมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน 62,000 คนทั่วโลก ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ชาย 60% และเป็นผู้หญิง 40 %
โดยเฉลี่ยในแต่ละปี ทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน 25,000 คน
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma)
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 30 ชนิดย่อย ถ้าอาศัยการเจริญของตัวมะเร็งแล้ว จะสามารถแบ่งมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กินออกได้ 2 ชนิด คือ
1. ชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Indolet) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนี้จะมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งค่อนข้างช้า แต่มะเร็งชนิดนี้มักจะไม่หายขาดด้วยการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน
2. ชนิดรุนแรง (Aggressiv) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนี้ จะมีอัตราการแบ่งตัวของมะเร็งเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ภายใน 6 เดือน ถึง 2 ปี ข้อแตกต่างจากมะเร็งชนิดค่อยเป็นค่อยไปคือ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดรุนแรงมีโอกาสหายหาดจากโรคได้ ถ้าได้รับการรักษา
อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
เนื่องจากอาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถพบได้ในหลายภาวะ เช่น การติดเชื้อ ดังนั้นจึงมีผู้ป่วยบางส่วนที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง แต่โดยทั่วไปอาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมักจะกินเวลานาน และไม่สามารถอธิบายได้จากสาเหตุอื่น
อาการเริ่มต้นของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่พบได้บ่อย
- การพบก้อนที่บริเวณต่าง ๆของร่างกาย เช่น ที่คอ รักแร้ หรือ ขาหนีบ โดยก้อนที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้น มักไม่เจ็บต่างจากการติดเชื้อที่มักมีอาการเจ็บที่ก้อน
- ไข้ หนาวสั่น
- มีเหงื่อออกมากตอนกลางคืน
- เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด
- อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ไอเรื้อรัง และหายใจไม่สะดวก
- ต่อมทอนซิลโต
- อาการคันทั่วร่างกาย
- ปวดศีรษะ (พบในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระบบประสาท)
อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในระยะลุกลาม
- ในผู้ป่วยบางราย จะพบอาการปวดที่ต่อมน้ำเหลือง หลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ในรายที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองภายในช่องท้อง จะพบอาการแน่นท้อง หรืออาหารไม่ย่อยได้
ต่อมน้ำเหลืองที่โตจะมีผลกดเบียดอวัยวะข้างเคียง เช่น หลอดเลือด หรือเส้นประสาท อาจทำให้เกิดอาการชา หรือ ปวด ตามแขนขาได้
การวินิจฉัยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทำได้โดยการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา
สาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
สาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบมีความสัมพันธ์ของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ในผู้ที่มีภาวะพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ในผุ้ที่ได้รับการปลูกถายอวัยวะและได้รับยากดภูมิคุ้มกัน, ผู้ป่วยเอดส์ นอกจากนี้มีบางรายงานพบว่ามีความสัมพันธ์กับการได้รับสารเคมีบางชนิด
แนวทางการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การรักษาที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ สามารถใช้ได้ทั้งเป็นการรักษาเดี่ยวหรือการรักษาแบบผสมผสาน
1. การเฝ้าติดตามโรค
- การเฝ้าติดตามโรคมักใช้ในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Indolent) หรือในรายชื่อที่ผู้ป่วยมีอาการจากตัวโรคไม่มาก
- ระหว่างการเฝ้าติดตามโรค จะมีการตรวจเลือดหรือตรวจทางรังสีเป็นระยะ
2. การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
- ยาเคมีบำบัดจะทำลายเซลล์มะเร็งโดยไปรบกวนการแบ่งตัวเซลล์มะเร็งการเลือกชนิดของยาเคมีบำบัดนั้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โดยทั่วไปการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมักจะให้ยาเคมีบำบัดหลายขนานร่วมกัน หรืออาจให้ร่วมกับการรักษาด้วย แอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)
3. การรักษาด้วยแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies)
- แอนติบอดี คือ สารสังเคราะห์ที่จะไปจับกับโปรตีนบนผิวของเซลล์มะเร็ง หลังจากนั้นจะมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อมากำจัดเซลล์มะเร็งนั้น
4. การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiation Therapy)
- คือการรักษาด้วยการใช้รังสีปริมาณสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
5. การรักษาด้วยปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Transplantation)
- หลักการของรักษาด้วยปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดคือ การทำลายเซลล์มะเร็งให้หมดไป แล้วแทนที่ด้วยเซลล์ที่ปกติ การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
5.1 การถูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้บริจาค ( Allogeneic Transplantation)
5.2 การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด โดยอาศัยเซลล์ของผู้ป่วยเอง (Autologous Transplantation)
ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การดูแลตนเองขณะทำการรักษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ป่วยต้องให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะเรื่องของโภชนาการทั้งในระหว่างการรักษาและหลังการรักษาซึ่งสามารถเรียกได้ว่า “ช่วงเฝ้าระวัง”
โภชนาการสำหรับผู้ป่วยในระหว่างรักษาตัว : ผู้ป่วยควรรักประทานอาหารที่มีประโยชน์ และสะอาดเป็นพิเศษ เนื่องจากร่างกายผู้ป่วยที่กำลังเข้ารับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด คีโม ฉายแสง จะมีสภาพอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย อาหารที่รับประทานควรสะอาดและปรุงสุก หากสามารถทำได้ด้วยตนเองจะดีมาก ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาหารประเภทข้าวและแป้ง เนื้อสัตว์ ไขมันจากพืชและสัตว์ ผักและผลไม้ มักมีคำถามว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งไม่ควรทานเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่? คำตอบคือใช่ แต่!! ไม่ใช่ในช่วงของการรักษา เนื่องจากผู้ป่วยต้องการสารอาหารประเภทโปรตีนมากเป็นพิษในการบำรุงร่างกายเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพราะการรักษาทางคีโม ฉายแสง ล้วนแล้วแต่ไปทำลายเซลส์ทั้งเซลส์ที่ดีและไม่ดีไปพร้อมๆกัน ผู้ป่วยจะอ่อนแอจากการถูกทำลายเซลส์ที่ดีในการรักษาตัว เพราะฉะนั้นควรเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ด้วย โดยมีหลักการเลือกทานเนื้อสัตว์ดังนี้
1.) เนื้อสัตว์ปลอดสารเร่ง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถทำได้ อาจมีราคาสูงกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไป แต่ก็ปลอดภัยมากกว่าสำหรับผู้ป่วย
2.) อาหารประเภทปลา ขอให้เลือกรับประทานปลาที่มาจากธรรมชาติ เช่น ปลาทู ปลาทูน่าสด ปลาแซลม่อนสด ปลาช่อนนา ฯลฯ พยายามหลีกเลี่ยงปลาที่เลี้ยงด้วยอาหารเม็ด เนื่องจากอาหารเม็ดบางชนิดมีสารเร่งการเจริญเติบโต จึงไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วย เพราะสารเหล่านี้จะตกค้างในร่างกายของผู้ป่วยต่อไปได้ด้วย
ทั้งนี้ หลังจากการรับการรักษาด้วยการผ่าตัด คีโม ฉายแสง และอื่นๆ ผู้ป่วยควรเลือกรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ให้มาก ส่วนปริมาณการรับประทานเนื้อสัตว์ควรลดน้อยลง เพราะอาหารประเภทเนื้อสัตว์จะย่อยยาก และตกค้างอยู่ในร่างกาย ในบางกรณีเนื้อสัตว์ที่ย่อยยากจะเน่าในลำไส้ และกลายเป็นกรด ซึ่งเป็นอาหารอย่างดีให้กับมะเร็ง
อาหารประเภทผัก ผลไม้ ถั่ว จะช่วยสร้างสภาวะความเป็นด่างให้กับร่างกาย ร่างกายสามารถดูดซับประโยชน์ของอาหารเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลส์ที่ดีในร่างกาย
ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนม เพราะนมทำให้เกิดสภาวะที่เป็นเมือก และมะเร็งจะสามารถดูดซึมอาหารได้ดีในสภาวะที่เป็นเมือก เพราะฉะนั้นการตัดช่องทางในการรับประทานอาหารของมะเร็งก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน
รวมทั้งอาหารประเภทน้ำตาล เพราะน้ำตาลก็เป็นอาหารที่ดีสำหรับมะเร็ง และควรหลีกเลี่ยงสารให้ความหวานเช่นน้ำตาลเทียมต่างๆที่มีขายตามท้องตลาด ควรรับประทานน้ำผึ้งแทน แต่ขอให้รับประทานในปริมาณน้อย
หน้าที่เข้าชม | 706,551 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 516,290 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |
Add Line
G-Herb Shop พระราม3
ยินดีให้คำปรึกษา
ทุกปัญหา
หรือกดตามลิ้งค์ข้างล่างนี้
เพื่อสอบถามหรือปรึกษา